หัวข้อการพูดคุย เส้นทางการเป็นนักพยากรณ์(ภาค1)

 

ยกคำพูดมา

เส้นทางการเป็นนักพยากรณ์(ภาค1)

เส้นทางการเป็นนักพยากรณ์ที่ไม่มีพรสวรรค์แบบฟ้าประทานอย่างชั้น ทุกอย่างเริ่มจากการเรียนรู้ มานะ อดทน พยายาม.
แต่ใหนแต่ไรมาชั้นไม่มีความเชื่อเรื่องหมอดู ชั้นเชื่อตลอดว่าคนเราทำดีต้องได้ดี
ใครจะมารู้จักตัวเราดีเท่าตัวเราเอง…555
ตอนเด็กๆเคยตามแม่กับน้าๆไปท่าพระจันทร์บ่อยๆ ก็ยังคงไม่เข้าใจและยังคงสงสัยใยหมอดูจึงมีอิทธิพลต่อคนเราได้เพียงนี้
ทุกครั้งที่ไป รอก็นาน คนก็เยอะ บรรยากาศก็น่าอึดอัด เครียดๆยังไงไม่รู้ จนกระทั้งเมื่อ 7 ปีที่แล้วฮวงจุ้ยเข้ามามีอิทธิพลในบ้านของชั้น
ชั้นไม่อยากจะเชื่อแค่การจัด ปรับ เปลี่ยน การวางข้าวของตลอดจนการใช้สี และสิ่งของบางอย่างจะทำให้อะไรต่อมิอะไรเปลี่ยนไป
ความสงสัย ข้องใจ ความไม่เชื่อในสมัยเด็กๆบวกกับการที่อยากจะพิสูจน์ว่ามันยังไงกันแน่ ทำให้ชั้นเริ่มหาสำนักที่จะไปฝากตัวเป็นศิษย์

….เส้นทางการเป็นนักพยากรณ์ที่ไม่มีพรสวรรค์แบบฟ้าประทานอย่างชั้น จึงเริ่มต้นขึ้น เริ่มจากการเรียนรู้ มานะ อดทน พยายาม….
ชั้นเริ่มจากการเรียนดวงจีน….ตามด้วยฮวงจุ้ย ใจจริงอยากเรียนฮวงจุ้ยอย่างเดียวแต่อาจารย์บอกว่าถ้าเราไม่เรียนดูดวงก่อนเราเรียนฮวงจุ้ยไป
ก็เปล่าประโยชน์ไม่ต่างอะไรกับเราซื้อหนังสือฮวงจุ้ยมาอ่านแล้วจัดๆวางๆตามที่หนังสือบอกโดยไม่รู้ว่าแท้จริงอะไรที่เราขาดหรือต้องการอะไร
เรียนซ้ำๆอยู่2-3สำนักและพวกหลักสูตรสั้นๆ5-6หลักสูตร ทำให้พบความทั้งความเหมือนและความแตกต่างมากมาย ต่อมาก็เริ่มเรียนไพ่ทาโรต์
สำหรับไพ่ทาโรต์นี่เรียนมาแล้ว3สำนักติดใจอ่านแต่ไพ่ไม่สนใจดวงจีนกับฮวงจุ้ยอีกเวลาใครเรียกให้ดูก็จะดูแต่ไพ่ให้ แหม!สะดวกจะตายไม่ต้องขึ้น
วัน เดือน ปีเกิด ก็ดูได้ไม่ต้องพกปฏิทิน100ปีด้วย ไพ่ก็สวยกะว่าจะต่อสำนักที่4ไพ่กระแสจิตอ่านมาจากศาสตร์แห่งโหรแล้วสงสัยว่าคนไม่นิ่ง(ลิงชัดๆ)
อย่างเราจะเรียนได้ไหม กระแสจิตยังไง ต้องมีพลังพิเศษไหม ของมันฝึกกันได้หรือเปล่า ลองโทรมาคุยกับอาจารย์ก่อนว่าสอนอย่างไงที่ใหนจะสอนเมื่อไหร
(เพี่อนๆรู้ไหมไกลโคต..รๆจากบางบอนไปงามวงค์วาน ค่าเรียนไม่เท่าไหรค่ารถยังแพงกว่า) 555  แต่อาจารย์ยังไม่ยอมสอนกับให้เรียน มหาทักษาพยากรณ์แทนซะงั้น (สงสัยต้องลงทุนคลุกเข่าแบบหนังจีน แบบว่าข้าน้อยขอฝากตัวเป็นศิษย์ขอท่านอาจารย์โปรดรับข้าไว้ในสำนักของท่านด้วยเถอะ)   ไอ้เราก็ว่างๆอยู่ อยากหาอะไรเรียนอยู่แล้ว และก็ไม่เคยเรียนวิชานี้มาก่อนเอาน่าเรียนก็ได้ (ความจริงติดใจอาจารย์ให้เรียนอะไรก็เรียนทั้งนั้นแหละพี่แบบว่าหลงเสียงนางอ่ะ) แล้วยังไงล่ะ เรียนแล้วได้ผลอย่างไรเหรอ ก็เอามาลองใช้ควบกับดวงจีน อยากรู้ว่ามันผลจะออกมาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ผลออกมาใกล้เคียงกันค่ะ ใช้ทายใครก็ได้รับการรับประกันแม่นเป๊ะ555  ตอนนี้ใครๆก็พากันเรียกชั้นว่า หมอดู แม่หมอ ที่ไม่รู้จักกันหรือรู้จักกันผ่านเวปผ่านเมล์ก็มักเรียกชั้นว่าอาจารย์ ชั้นพยายามบอกใครต่อใคร ว่าชั้นยังเป็นนักเรียนอยู่ยังไม่เป็นอาจารย์แล้ว อย่าเรียกชั้นว่า หมอดู แม่หมอ โปรดเรียกชั้นว่าตุลย์ หรือtoon_la เพราะว่าชั้น ก็ทำได้แค่…เป็นที่ปรึกษาอ่านแนวโน้มดวงชะตาเพื่อวางแผน เตรียมรับมือกับมันล่วงหน้า และแค่สามารถบอกทิศทางของโชคลาภ ความมั่งคั่ง สุขภาพและความสัมพันธ์ ความตั้งใจของชั้นที่อยากให้ทุกคนได้ยืนด้วยขาของตัวเอง อย่าได้เชื่อใครไปหมดซะทุกเรื่อง อย่าให้ใครมาขีดชีวิตคุณ ชีวิตคุณ คุณเลือกเอง (แต่ถ้าผงเข้าตาคุณแล้วเขี่ยเองไม่ได้ขอให้เป็นหน้าที่ของเรา) หรือก็แค่หาใครสักคนที่คุณไว้ใจได้จริงๆมาเป็นที่ปรึกษา เน้นเลยนะว่าต้องไว้ใจได้จริงๆไม่มีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องก็เท่านั้นเอง
วันนี้เอาคราวๆก่อนนะค่ะ วันหลังจะเล่าเส้นทางการเป็นนักพยากรณ์ภาค2ให้ฟังอีกทีค่ะ
ขอบคุณสำหรับการติดตาม
Toon_la ตุลย์  
 

5 responses to “หัวข้อการพูดคุย เส้นทางการเป็นนักพยากรณ์(ภาค1)

  1. กำลังคอยภาค 2 อยู่

  2. การเล่าเรื่อง เราว่ามันเป็นธรรมชาติ และก็จริงใจดีนะ การเขียนบทความมันต้องใช้คำสระสรวย บางครั้งมันเสแสร้ง เพื่อให้คนอ่าน อ่านแล้วดูดี การเล่าเรื่องเวลาอ่านแล้วมันเหมือนได้นั่งคุยกันตัวต่อตัวมากกว่าและให้ความเป็นกันเอง อันนี้ความคิดเรานะ เท่าที่เราอ่านบทความแล้วก็เข้าใจความหมายทำให้อยากอ่านต่อๆ ไป

  3. 555ขอบคุณ สำหรับคำติ ชม ของเพื่อนpop ทำให้ ตุลย์มีกำลังใจ และฮีกเหิมขึ้นเยอะเลย เอาเป็นว่าแม้จะมีเพื่อยpopอ่านแค่คนเดียวตุลย์ก็เขียนต่อไป เพื่อตอบแทนกำลังใจที่เพื่อนpopมีให้ตุลย์ในวันนี้ ขอบคุณจากใจจริง ปล.วันหลังไม่อยากอ่านก็จะขอร้องแกมบังคับให้อ่าน555

  4. รีบๆ เขียนไวไวนะ อยากอ่านแล้ว

  5. กุญแจบอกชีวิต มีเพื่อน 3 คนได้ร่วมกันเปิดสำนักงานที่ชั้น 60 ของอาคารแห่งหนึ่ง เช้าวันหนึ่งทั้งสามได้มาทำงานพร้อมกัน แต่ลิฟท์ดันมาเสีย ทั้งสามจึงตัดสินใจเดินขึ้นเพราะอย่างไรก็มีเพื่อนเดินไปด้วยกัน นาย A เห็นว่าเดินอย่างเดียวมันเหงา จึงเล่าเรื่องตลกให้เพื่อนฟังแก้เซ็ง พอถึงชั้นที่ 20 เรื่องเล่าก็หมด นาย B จึงขอร้องเพลงให้ฟังแก้เหงา ร้องไปทั้งเพลงสนุกๆ รัก และเศร้า พอฉัน 40 นาย B ไม่รู้จะร้องเพลงอะไรอีกแล้ว นาย C จึงขอเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาให้ฟัง ในที่สุดก็ถึงชั้น 60 นาย A ถามว่า ใครมีกุญแจ office บ้าง เราเองนึกว่ามีคนอยู่ในบริษัทแล้วจึงไม่ได้เอามา นาย B บอกว่าไม่ได้เอามา นึกว่าพวกนายมีเสียอีก นาย C บอกว่า เราให้น้องในบริษัทยืมไป แต่วันนี้มันลางานพอดีเลย เรื่องนี้เปรียบเสมือนชีวิตของคน จาก 0-20 ปี เราต่างมีชีวิตที่สนุกสนาน 20-40 ปี เรามีชีวิตที่ทั้งสนุกและทุกข์ปนๆกันไป 40-60 เรากลับต้องมานั่งคิดถึงชีวิตที่ผิดพลั้งไป หากเรานึกถึงกุญแจตั้งแต่ชั้นที่ 20 เราก็ยังมีเวลากลับไปเอากุญแจได้ทัน แล้วคุณล่ะ ลืมกุญแจไว้หรือเปล่า…

ใส่ความเห็น